นกกรงหัวจุก
ชื่อสามัญ Red-whiskered bulbul
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pycnontus jocosus
ตำนานนกกรงหัวจุก
นกกรงหัวจุกที่นำมาแข่งขันประชันเสียงกันนั้น มีตำนานเล่าสืบต่อกันมา และมีหนังสือบางเล่มได้เขียนเอาไว้ว่า ชนชาติแรกที่นำนกกรงหัวจุกมาเลี้ยงคือชาวจีน
เมื่อประมาณ พ.ศ.2410 คนจีนได้นำนกกรงหัวจุกมาเลี้ยงแทนนกโรบิ้น ที่คนจีนส่วนใหญ่นิยมนำมาใส่กรงพาเดินไปตามถนนหรือนั่งร้านกาแฟ หรือไปหาเพื่อนๆ ที่รู้ใจและเลี้ยงนกเหมือนกัน และนกโรบิ้นมักจะเป็นนกที่ตกใจง่ายและตื่นคน บางครั้งตกใจมากจนถึงขั้นช็อกตายคากรง ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ชาวจีนกันมาเลี้ยงนกกรงหัวจุกกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
นกกรงหัวจุกมีถิ่นอาศัยอยู่ในแถบประเทศที่มีอากาศร้อนชื้น ในทวีปเอเชียพบได้ในประเทศจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม กัมพูชา ลาว ส่วนใหญ่ เราจะพบนกชนิดนี้ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
นกกรงหัวจุกเป็นที่นิยมของคนภาคใต้มายาวนาน โดยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย นั่นคือ การแข่งขันประชันเสียงเพลงที่มีลีลาการร้องของสำนวนเสียงของนกแต่ละตัวว่าใครจะเหนือกว่ากัน แต่ในสมัยก่อนของภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส กระบี่ นครศรีธรรมราช นิยมนำนกกรงหัวจุกมาชนกันหรือตีกันเหมือนกับการชนไก่ คือเอานกมาเทียบขนาดให้ใกล้เคียงกันแล้วจับใส่กรงกลางที่มีขนาดใหญ่ แล้วปล่อยให้นกทั้งสองตัวไล่จิกตีกันภายในกรง จนกว่าจะรู้แพ้รู้ชนะ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่านกกรงหัวจุกมีนิสัยดุร้ายและชอบไล่จิกและตีกันตามธรรมชาติอยู่แล้ว
การแข่งขันนกกรงหัวจุกได้มาเปลี่ยนแปลงไปเมื่อประมาณปี พ.ศ.2515 เพราะว่าชาวจังหวัดสงขลา มีแนวความคิดที่จะเปลี่ยนจากการตีกันมาเป็นแบบแข่งขันประชันเสียง โดยเอาแบบมาจากการแข่งขันของนกเขาชวา คือ การนำนกป่าที่ต่อมาได้นำมาเลี้ยงและฝึกให้เกิดความเชื่องกับคนเลี้ยงหรือเชื่องกับผู้ที่เป็นเจ้าของ พร้อมกับฝึกให้นกมีความสามารถในการร้องในลีลาต่างๆ ตามแต่ที่นกในแต่ละตัวจะทำได้
และผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุกก็เริ่มเปลี่ยนการละเล่นที่นำนกมาตีกัน มาเป็นอย่างเดียวกันกับนกเขาชวา คือการเล่นฟังเสียงอันไพเราะของนก จากนั้นการแข่งขันประชันเสียงของนกกรงหัวจุกก็เริ่มมีผู้นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ. 2519 ที่สนามบริเวณหลังสถานีรถไฟเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งในการจัดครั้งนั้นถือว่าเป็นรายการใหญ่ที่สุดในยุคนั้น และได้ยกเลิกการแข่งขันนกกรงหัวจุกในแบบตีกัน
ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ.2520 ทางจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จัดให้มีการรวมกลุ่มผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก โดยจัดตั้งขึ้นเป็นชมรม ซึ่งทำให้ทุกวันนี้มีชมรมต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย
ส่วนกรุงเทพมหานครได้มีการเล่นนกกรงหัวจุก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2524 โดยมีกลุ่มคนทางภาคใต้นำเอากีฬาชนิดนี้เข้ามาเผยแพร่ให้เป็นทีรู้จัก และได้จัดให้มี การแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกที่ตลาดสวนจตุจักร และนับตั้งแต่นั้นมากระแสความนิยมแข่งขันประชันเสียงของนกกรงหัวจุกก็ได้รับความนิยมสืบมาจนถึงปัจจุบัน
การแข่งขันนกกรงหัวจุกได้รับการยอมรับว่าเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่มีผู้คนให้ความสนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีการจัดงานแข่งขันประชันเสียงกันทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ในแต่ละสัปดาห์จะมีรายการแข่งขันทั้งประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 5 สนาม มีชมรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับ นกกรงหัวจุกทั่วประเทศนับเป็นร้อยๆ ชมรม และสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การได้รับการโปรดเกล้าพระราชทานถ้วยเป็นรางวัลแก่ผู้ที่ชนะการแข่งขัน มีตั้งแต่ถ้วยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้วยของพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งสร้างความปลาบปลื้มและเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระxลของผู้ที่ได้ครอบครองถ้วยพระราชทาน
วงการนกกรงหัวจุกจัดได้ว่าเป็นวงการที่ได้รับความนิยมจากคนไทยทั้งประเทศเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมแพร่ขยายมากขึ้น มีการจัดรายการแข่งขันติดกันและต่อเนื่องตลอดทั้งปี มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้การสนับสนุนหลายท่าน ซึ่งส่งผลให้วงการกีฬานกกรงหัวจุกเป็นกีฬาที่สร้างความสนุกสนานและเป็นการสร้างความสามัคคีให้กับคนในชาติได้เป็นอย่างดี
นกกรงหัวจุกที่นำมาแข่งขันประชันเสียงกันนั้น มีตำนานเล่าสืบต่อกันมา และมีหนังสือบางเล่มได้เขียนเอาไว้ว่า ชนชาติแรกที่นำนกกรงหัวจุกมาเลี้ยงคือชาวจีน
เมื่อประมาณ พ.ศ.2410 คนจีนได้นำนกกรงหัวจุกมาเลี้ยงแทนนกโรบิ้น ที่คนจีนส่วนใหญ่นิยมนำมาใส่กรงพาเดินไปตามถนนหรือนั่งร้านกาแฟ หรือไปหาเพื่อนๆ ที่รู้ใจและเลี้ยงนกเหมือนกัน และนกโรบิ้นมักจะเป็นนกที่ตกใจง่ายและตื่นคน บางครั้งตกใจมากจนถึงขั้นช็อกตายคากรง ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ชาวจีนกันมาเลี้ยงนกกรงหัวจุกกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
นกกรงหัวจุกมีถิ่นอาศัยอยู่ในแถบประเทศที่มีอากาศร้อนชื้น ในทวีปเอเชียพบได้ในประเทศจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม กัมพูชา ลาว ส่วนใหญ่ เราจะพบนกชนิดนี้ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
นกกรงหัวจุกเป็นที่นิยมของคนภาคใต้มายาวนาน โดยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย นั่นคือ การแข่งขันประชันเสียงเพลงที่มีลีลาการร้องของสำนวนเสียงของนกแต่ละตัวว่าใครจะเหนือกว่ากัน แต่ในสมัยก่อนของภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส กระบี่ นครศรีธรรมราช นิยมนำนกกรงหัวจุกมาชนกันหรือตีกันเหมือนกับการชนไก่ คือเอานกมาเทียบขนาดให้ใกล้เคียงกันแล้วจับใส่กรงกลางที่มีขนาดใหญ่ แล้วปล่อยให้นกทั้งสองตัวไล่จิกตีกันภายในกรง จนกว่าจะรู้แพ้รู้ชนะ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่านกกรงหัวจุกมีนิสัยดุร้ายและชอบไล่จิกและตีกันตามธรรมชาติอยู่แล้ว
การแข่งขันนกกรงหัวจุกได้มาเปลี่ยนแปลงไปเมื่อประมาณปี พ.ศ.2515 เพราะว่าชาวจังหวัดสงขลา มีแนวความคิดที่จะเปลี่ยนจากการตีกันมาเป็นแบบแข่งขันประชันเสียง โดยเอาแบบมาจากการแข่งขันของนกเขาชวา คือ การนำนกป่าที่ต่อมาได้นำมาเลี้ยงและฝึกให้เกิดความเชื่องกับคนเลี้ยงหรือเชื่องกับผู้ที่เป็นเจ้าของ พร้อมกับฝึกให้นกมีความสามารถในการร้องในลีลาต่างๆ ตามแต่ที่นกในแต่ละตัวจะทำได้
และผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุกก็เริ่มเปลี่ยนการละเล่นที่นำนกมาตีกัน มาเป็นอย่างเดียวกันกับนกเขาชวา คือการเล่นฟังเสียงอันไพเราะของนก จากนั้นการแข่งขันประชันเสียงของนกกรงหัวจุกก็เริ่มมีผู้นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ. 2519 ที่สนามบริเวณหลังสถานีรถไฟเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งในการจัดครั้งนั้นถือว่าเป็นรายการใหญ่ที่สุดในยุคนั้น และได้ยกเลิกการแข่งขันนกกรงหัวจุกในแบบตีกัน
ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ.2520 ทางจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จัดให้มีการรวมกลุ่มผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก โดยจัดตั้งขึ้นเป็นชมรม ซึ่งทำให้ทุกวันนี้มีชมรมต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย
ส่วนกรุงเทพมหานครได้มีการเล่นนกกรงหัวจุก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2524 โดยมีกลุ่มคนทางภาคใต้นำเอากีฬาชนิดนี้เข้ามาเผยแพร่ให้เป็นทีรู้จัก และได้จัดให้มี การแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกที่ตลาดสวนจตุจักร และนับตั้งแต่นั้นมากระแสความนิยมแข่งขันประชันเสียงของนกกรงหัวจุกก็ได้รับความนิยมสืบมาจนถึงปัจจุบัน
การแข่งขันนกกรงหัวจุกได้รับการยอมรับว่าเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่มีผู้คนให้ความสนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีการจัดงานแข่งขันประชันเสียงกันทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ในแต่ละสัปดาห์จะมีรายการแข่งขันทั้งประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 5 สนาม มีชมรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับ นกกรงหัวจุกทั่วประเทศนับเป็นร้อยๆ ชมรม และสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การได้รับการโปรดเกล้าพระราชทานถ้วยเป็นรางวัลแก่ผู้ที่ชนะการแข่งขัน มีตั้งแต่ถ้วยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้วยของพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งสร้างความปลาบปลื้มและเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระxลของผู้ที่ได้ครอบครองถ้วยพระราชทาน
วงการนกกรงหัวจุกจัดได้ว่าเป็นวงการที่ได้รับความนิยมจากคนไทยทั้งประเทศเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมแพร่ขยายมากขึ้น มีการจัดรายการแข่งขันติดกันและต่อเนื่องตลอดทั้งปี มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้การสนับสนุนหลายท่าน ซึ่งส่งผลให้วงการกีฬานกกรงหัวจุกเป็นกีฬาที่สร้างความสนุกสนานและเป็นการสร้างความสามัคคีให้กับคนในชาติได้เป็นอย่างดี
ลักษณะ
นกกรงหัวจุกเป็นนกในวงศ์นกปรอด บางครั้งจะเรียกว่า นกปรอดหัวโขน เป็นนกที่มีรูปร่างน่ารัก ที่มีลักษณะลำตัวใหญ่กว่านก กระจอกเล็กน้อย มีลักษณะเด่นคือ หัวจะมีขนยาวคล้ายจุกสีดำ มีคอสั้น ปีกสั้น หางยาว ขนปกคลุมด้านบนลำตัว คอและด้านล่าง ลำตัวสีขาว หางด้านล่างมีสีแดง ปลายหางด้านล่างมีสีขาว ที่แก้มทั้งสองข้างและที่ก้นจะมีสีแดง ลำตัวจะมีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม ส่วนท้องจะมีสีขาว ปีกและหางมีสีน้ำตาล
ลักษณะเด่นคือ มีเสียงร้องไพเราะ นกชนิดนี้มักเป็นนกที่ไม่ค่อยตื่นกลัว หรือตกใจง่าย กระโดดหากินไปตามต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว และส่งเสียงร้องอย่างสม่ำเสมอ อาหารได้แก่ พวกผลไม้และแมลง รังทำด้วยหญ้าและกิ่งไม้สานกันอย่างบอบบาง เป็นรูปถ้วยเตี้ยๆ อยู่ตามพุ่มไม้หรือต้นไม้เตี้ยๆ วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง นกกรงหัวจุกยังมีชื่อเรียกตามแหล่งที่พบอีกเช่น ในภาคเหนือจะเรียกว่า นกปิ๊ดตะหลิว หรือฟิดจะลิว เป็นนกที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเจ็บป่วย ติดโรคยาก ถ้าเลี้ยงดูให้ดี จะมีอายุยืนถึง 10 ปี เป็นนกที่นิยมนำมาเลี้ยงเพื่อไว้ดูเล่นและแข่งขันเสียงร้อง
ลักษณะเด่นคือ มีเสียงร้องไพเราะ นกชนิดนี้มักเป็นนกที่ไม่ค่อยตื่นกลัว หรือตกใจง่าย กระโดดหากินไปตามต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว และส่งเสียงร้องอย่างสม่ำเสมอ อาหารได้แก่ พวกผลไม้และแมลง รังทำด้วยหญ้าและกิ่งไม้สานกันอย่างบอบบาง เป็นรูปถ้วยเตี้ยๆ อยู่ตามพุ่มไม้หรือต้นไม้เตี้ยๆ วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง นกกรงหัวจุกยังมีชื่อเรียกตามแหล่งที่พบอีกเช่น ในภาคเหนือจะเรียกว่า นกปิ๊ดตะหลิว หรือฟิดจะลิว เป็นนกที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเจ็บป่วย ติดโรคยาก ถ้าเลี้ยงดูให้ดี จะมีอายุยืนถึง 10 ปี เป็นนกที่นิยมนำมาเลี้ยงเพื่อไว้ดูเล่นและแข่งขันเสียงร้อง
แหล่งที่พบ
พบบริเวณป่า ตามภูเขา เรือกสวนไร่นาและบริเวณที่มีการเพาะปลูก อาศัยอยู่ตามท้องทุ่ง ป่าละเมาะ นิยมอยู่ในพื้นที่ป่าโปร่ง โดยจะอยู่กันเป็นกลุ่มตามพุ่มไม้หรือต้นไม้เตี้ยๆ พบมากทางภาคใต้ และภาคเหนือของไทย เขตจังหวัดระนองจะพบในบริเวณชายป่าทั่วไป พบทั่วไปในบริเวณพื้นที่จังหวัดกระบี่ พบมากในอำเภอลำทับ อำเภอเขาพนม และอำเภอคลองท่อม และจะพบมากในเขตอำเภอควนกาหลง อำเภอละงู อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
พบบริเวณป่า ตามภูเขา เรือกสวนไร่นาและบริเวณที่มีการเพาะปลูก อาศัยอยู่ตามท้องทุ่ง ป่าละเมาะ นิยมอยู่ในพื้นที่ป่าโปร่ง โดยจะอยู่กันเป็นกลุ่มตามพุ่มไม้หรือต้นไม้เตี้ยๆ พบมากทางภาคใต้ และภาคเหนือของไทย เขตจังหวัดระนองจะพบในบริเวณชายป่าทั่วไป พบทั่วไปในบริเวณพื้นที่จังหวัดกระบี่ พบมากในอำเภอลำทับ อำเภอเขาพนม และอำเภอคลองท่อม และจะพบมากในเขตอำเภอควนกาหลง อำเภอละงู อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
ความสัมพันธ์กับชุมชน
ใช้แข่งขันเพื่อสร้างความสามัคคี และการมีน้ำใจเป็นนักกีฬาของคนในชุมชนสืบทอดประเพณีท้องถิ่น เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ การแข่งขันนก กรงหัวจุกจะใช้ 4 ยก โดยการนำนกกรงหัวจุกไปแขวนไว้บนราว แต่ละยกใช้เวลา 20 นาที ตลอด 1 ยก จะมีกรรมการเดินดู ถ้านกกรงหัวจุกตัวไหนไม่ร้อง
ก็จะยกกรงลง จะทำอย่างนี้ไปจนครบ 4 ยก ทำให้เกิดความเพลิดเพลินในการฟังเสียงอันไพเราะของนกกรงหัวจุก ทำให้มีจิตใจเบิกบาน อารมณ์สดชื่น
ใช้แข่งขันเพื่อสร้างความสามัคคี และการมีน้ำใจเป็นนักกีฬาของคนในชุมชนสืบทอดประเพณีท้องถิ่น เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ การแข่งขันนก กรงหัวจุกจะใช้ 4 ยก โดยการนำนกกรงหัวจุกไปแขวนไว้บนราว แต่ละยกใช้เวลา 20 นาที ตลอด 1 ยก จะมีกรรมการเดินดู ถ้านกกรงหัวจุกตัวไหนไม่ร้อง
ก็จะยกกรงลง จะทำอย่างนี้ไปจนครบ 4 ยก ทำให้เกิดความเพลิดเพลินในการฟังเสียงอันไพเราะของนกกรงหัวจุก ทำให้มีจิตใจเบิกบาน อารมณ์สดชื่น
ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
1. ทำรายได้ให้กับช่างทำกรงนก ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 100 - 20,000 บาท ขึ้นกับวัสดุที่ใช้และความสวยงาม
2. เป็นการสร้างอาชีพ ในการเพาะเลี้ยงลูกนกไว้จำหน่าย
3. ทำให้มีรายได้หมุนเวียนในหมู่บ้าน ตั้งแต่ กรง - อาหาร - ยา - อุปกรณ์การเลี้ยงนก
2. เป็นการสร้างอาชีพ ในการเพาะเลี้ยงลูกนกไว้จำหน่าย
3. ทำให้มีรายได้หมุนเวียนในหมู่บ้าน ตั้งแต่ กรง - อาหาร - ยา - อุปกรณ์การเลี้ยงนก
อาหารของนกกรงหัวจุก
นกกรงหัวจุกชอบกินผลไม้และพืชผักเป็นหลัก นอกจากนี้ยังชอบกินหนอน ตั๊กแตน และแมลงอื่นๆ ซึ่งเป็นอาหารโปรตีน เพื่อทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ถ้าจะให้อาหารเม็ด ต้องเป็นอาหารลูกไก่ก็ยิ่งเจริญเติบโตดี ซึ่งอาหารต่างๆ มีดังนี้
อาหารที่เป็นผลไม้
ผลไม้ที่นกกรงหัวจุกกินจะเป็นสมุนไพรไปในตัว สามารถรักษาหรือป้องกันโรคต่างๆ ได้ดี มีดังนี้
"กล้วยน้ำว้าสุก" เป็นยาแก้ท้องผูก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายดี ข้อควรระวังให้กินนานๆ เสียงนกจะร้องเพี้ยน เพราะเนื้อกล้วยจะเหนียวติดปากนก นกก็จะอ้าปากร้องได้ไม่เต็มที่
"ส้มเขียวหวาน" มีวิตามินซี เป็นยาแก้ไขแก้ปวด แก้เจ็บคอและไอขับเสมหะและแก้อาเจียน
"มะละกอสุก" เพราะเป็นยาระบายท้อง แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงสายตาและขับพยาธิเส้นด้าย
"ฝรั่งสุก" เป็นยาแก้ท้องร่วง เป็นบิด และบำรุงหัวใจ
"พุทราสุก" เป็นยาแก้อ่อนเพลีย ผอมแห้งแรงน้อย "มะม่วงสุก" เป็นยาแก้ท้องอืด อาหารไม่ย่อยและบำรุงกระเพาะอาหารให้แข็งแรง นอกจากนี้ ยังมีผลไม้ป่าอีกหลายชนิดที่นกกรงหัวจุกกิน ได้แก่ ลูกหว้า ลูกไทร
อาหารที่เป็นพืชผัก
พืชผักที่นกกรงหัวจุกกิน จะ เป็นพืชสมุนไพรไปในตัว สามารถรักษาหรือป้อนกันโรคต่างๆ ได้ดี มีดังนี้
"ลูกตำลึง" เป็นยาแก้ระบายท้อง
"มะเขือเทศ" เป็นยาแก้นกเบื่ออาหาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงเลือด และกระตุ้นกล้ามเนื้อ
"แตงกวา" เป็นยาแก้ร้อนใน บำรุงปอด ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้ความจำดี เมล็ดขับพยาธิ ข้อควรระวัง ก่อนให้นกกิน ต้องนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน เพราะจะมีสารเคมีตกค้างมากับแตงกวา ถ้าให้นกกินเลยโดยไม่ล้างหรือแช่น้ำนกอาจจะตายได้
"พริกขี้หนูแดง" เป็นยาเจริญอาหาร บำรุงกำลัง และเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ปอดบวม และทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี โ ดยนำมาล้างน้ำแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ นำไปผสมกับน้ำผึ้ง
"บวบ" เป็นยาระบายท้อง แก้ไขและแก้ร้อนใส
อาหารที่เป็นหนอนและแมลง ได้แก่ หนอนนก ไข่มดแดง ปลวก จิ้งหรีด ตั๊กแตน แมลงเม่า อาหารพวกนี้จะเป็นอาหารโปรตีน ทำให้จกเจริญเติบโตได้เร็ว
อาหารเม็ด
เป็นอาหารสำหรับให้ลูกไก่กิน ควรเป็นอาหารเสริมให้นกกรงหัวจุกกินเป็นบางครั้งบางคราว นกกรงหัวจุกเป็นนกที่กินอาหารได้ตลอดวัน และอุจจาระไปเรื่อยๆ ดังนั้น การให้อาหารก็ต้องคอยดูว่าอาหารที่ให้หมดหรือยัง ถ้าหมดแล้วก็ให้ใหม่ ผู้เลี้ยงควรเปลี่ยนอาหารสลับกันไป เป็นผลไม้บ้าง พืชผักบ้าง หนอนนกบ้าง และอาหารเม็ดบ้าง
การให้อาหาร
ควรให้เป็นเวลา อย่าให้พร่ำเพรื่อหรือหลายอย่างพร้อมกัน เพราะถ้านกกินอิ่มมากเกินไปจะทำให้ท้องเสีย ซึ่งจะเกิดโทษได้ ควรให้นกกินอาหารหลายชนิดจนเกิดความเคยชิน เพราะถ้าไม่มีกล้วย เราจะเอาถั่วลิสงหรือแม้แต่ไข่ต้มคลุกข้าว นกก็จะสามารถกินได้ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวควรให้กินพอประมาณ เพราะถ้าให้กินพร่ำเพรื่อจะทำให้นกท้องเสียได้
การให้น้ำ
น้ำสำหรับนกกรงหัวจุก ควรเป็นน้ำที่สะอาด เมื่อดูแล้วน้ำในถ้วยที่ให้นกกรงหัวจุกใกล้หมด ก็ต้องเติมน้ำให้ใหม่ เพราะนกกรงหัวจุกชอบร้องทั้งวัน ก็เหมือนคนที่พูดมากๆ ต้องหิวน้ำเป็นธรรมดา อย่าให้นกกรงหัวจุกขาดน้ำ ถ้านกขาดน้ำนกกรงหัวจุกจะมีลักษณะขนตั้งชัน และนกกรงหัวจุกก็จะตายได้ ปกตินกกรงหัวจุกจะขาดน้ำได้ประมาณ 2-3 วัน ดังนั้น ผู้เลี้ยงที่จะไปไหนหลายๆ วัน ต้องฝากให้คนอื่นช่วยดูแลให้
นกกรงหัวจุกชอบกินผลไม้และพืชผักเป็นหลัก นอกจากนี้ยังชอบกินหนอน ตั๊กแตน และแมลงอื่นๆ ซึ่งเป็นอาหารโปรตีน เพื่อทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ถ้าจะให้อาหารเม็ด ต้องเป็นอาหารลูกไก่ก็ยิ่งเจริญเติบโตดี ซึ่งอาหารต่างๆ มีดังนี้
อาหารที่เป็นผลไม้
ผลไม้ที่นกกรงหัวจุกกินจะเป็นสมุนไพรไปในตัว สามารถรักษาหรือป้องกันโรคต่างๆ ได้ดี มีดังนี้
"กล้วยน้ำว้าสุก" เป็นยาแก้ท้องผูก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายดี ข้อควรระวังให้กินนานๆ เสียงนกจะร้องเพี้ยน เพราะเนื้อกล้วยจะเหนียวติดปากนก นกก็จะอ้าปากร้องได้ไม่เต็มที่
"ส้มเขียวหวาน" มีวิตามินซี เป็นยาแก้ไขแก้ปวด แก้เจ็บคอและไอขับเสมหะและแก้อาเจียน
"มะละกอสุก" เพราะเป็นยาระบายท้อง แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงสายตาและขับพยาธิเส้นด้าย
"ฝรั่งสุก" เป็นยาแก้ท้องร่วง เป็นบิด และบำรุงหัวใจ
"พุทราสุก" เป็นยาแก้อ่อนเพลีย ผอมแห้งแรงน้อย "มะม่วงสุก" เป็นยาแก้ท้องอืด อาหารไม่ย่อยและบำรุงกระเพาะอาหารให้แข็งแรง นอกจากนี้ ยังมีผลไม้ป่าอีกหลายชนิดที่นกกรงหัวจุกกิน ได้แก่ ลูกหว้า ลูกไทร
อาหารที่เป็นพืชผัก
พืชผักที่นกกรงหัวจุกกิน จะ เป็นพืชสมุนไพรไปในตัว สามารถรักษาหรือป้อนกันโรคต่างๆ ได้ดี มีดังนี้
"ลูกตำลึง" เป็นยาแก้ระบายท้อง
"มะเขือเทศ" เป็นยาแก้นกเบื่ออาหาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงเลือด และกระตุ้นกล้ามเนื้อ
"แตงกวา" เป็นยาแก้ร้อนใน บำรุงปอด ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้ความจำดี เมล็ดขับพยาธิ ข้อควรระวัง ก่อนให้นกกิน ต้องนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน เพราะจะมีสารเคมีตกค้างมากับแตงกวา ถ้าให้นกกินเลยโดยไม่ล้างหรือแช่น้ำนกอาจจะตายได้
"พริกขี้หนูแดง" เป็นยาเจริญอาหาร บำรุงกำลัง และเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ปอดบวม และทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี โ ดยนำมาล้างน้ำแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ นำไปผสมกับน้ำผึ้ง
"บวบ" เป็นยาระบายท้อง แก้ไขและแก้ร้อนใส
อาหารที่เป็นหนอนและแมลง ได้แก่ หนอนนก ไข่มดแดง ปลวก จิ้งหรีด ตั๊กแตน แมลงเม่า อาหารพวกนี้จะเป็นอาหารโปรตีน ทำให้จกเจริญเติบโตได้เร็ว
อาหารเม็ด
เป็นอาหารสำหรับให้ลูกไก่กิน ควรเป็นอาหารเสริมให้นกกรงหัวจุกกินเป็นบางครั้งบางคราว นกกรงหัวจุกเป็นนกที่กินอาหารได้ตลอดวัน และอุจจาระไปเรื่อยๆ ดังนั้น การให้อาหารก็ต้องคอยดูว่าอาหารที่ให้หมดหรือยัง ถ้าหมดแล้วก็ให้ใหม่ ผู้เลี้ยงควรเปลี่ยนอาหารสลับกันไป เป็นผลไม้บ้าง พืชผักบ้าง หนอนนกบ้าง และอาหารเม็ดบ้าง
การให้อาหาร
ควรให้เป็นเวลา อย่าให้พร่ำเพรื่อหรือหลายอย่างพร้อมกัน เพราะถ้านกกินอิ่มมากเกินไปจะทำให้ท้องเสีย ซึ่งจะเกิดโทษได้ ควรให้นกกินอาหารหลายชนิดจนเกิดความเคยชิน เพราะถ้าไม่มีกล้วย เราจะเอาถั่วลิสงหรือแม้แต่ไข่ต้มคลุกข้าว นกก็จะสามารถกินได้ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวควรให้กินพอประมาณ เพราะถ้าให้กินพร่ำเพรื่อจะทำให้นกท้องเสียได้
การให้น้ำ
น้ำสำหรับนกกรงหัวจุก ควรเป็นน้ำที่สะอาด เมื่อดูแล้วน้ำในถ้วยที่ให้นกกรงหัวจุกใกล้หมด ก็ต้องเติมน้ำให้ใหม่ เพราะนกกรงหัวจุกชอบร้องทั้งวัน ก็เหมือนคนที่พูดมากๆ ต้องหิวน้ำเป็นธรรมดา อย่าให้นกกรงหัวจุกขาดน้ำ ถ้านกขาดน้ำนกกรงหัวจุกจะมีลักษณะขนตั้งชัน และนกกรงหัวจุกก็จะตายได้ ปกตินกกรงหัวจุกจะขาดน้ำได้ประมาณ 2-3 วัน ดังนั้น ผู้เลี้ยงที่จะไปไหนหลายๆ วัน ต้องฝากให้คนอื่นช่วยดูแลให้
การผสมพันธุ์นกกรงหัวจุก
การผสมพันธุ์นกกรงหัวจุก จาก หนังสือ นกกรงฯนกเพลงเสนาะโลก เขียนโดย น้าหมูเซียนนก ตามหลักการเลี้ยงสัตว์ที่ถูกต้องนั้น... ต้องมีการขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวน นกกรงหัวจุกนั้นแม้จะเป็นสัตว์คุ้มครอง แต่ก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่สามารถเพาะพันธุ์ได้นั่น หมายถึงว่ากฎหมายได้เปิดช่องทางออกไว้เพื่อให้เราผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุกมีข้อโต้แย้งได้ว่าเราลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์ มิได้เลี้ยงเพื่อการค้า การผสมพันธุ์นกกรงหัวจุกไม่ใช่เรื่องยาก ว่ากันไปแล้วง่ายกว่านกเขาชวาเสียอีก
ขั้นแรกก็ต้องเตรียมกรงผสมเสียก่อน
ขนาดของกรงผสมก็ไม่ใหญ่โตอะไรมาก กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตรถึง2เมตรครึ่ง แล้วแต่พื้นที่ ความสูงก็ 2 เมตร แค่นี้ก็กว้างพอสำหรับพ่อแม่นกที่จะบินไปมาได้สะดวก ในกรงเราต้องตกแต่งให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติเสียหน่อย ด้วยการเอาต้นไม้กิ่งไม้ตกแต่งให้สวยงาม ให้นกได้มีความรู้สึกว่าอยู่ในธรรมชาติจริง ใช้ต้นโมกนี่แหล่ะราคาไม่แพงยกเข้าไปทั้งกระถางเลย 3 – 4 ต้นก็น่าจะพอ ที่พื้นกรงก็เอาทราบหยาบมาโรยไว้เพื่อซับความชื้น...จากนั้นก็หากิ่งไม้ไปขัดเป็นเส้น ๆ หลาย ๆ อัน เพื่อที่นกจะได้เลือกมุมหนึ่งเพื่อการสร้างรัง นกกรงหัวจุกนั้นด้วยนิสัยของมันแล้ว มันไม่ชอบให้ใครทำรังให้ มันจะช่วยกันสร้างเอง ดังนั้นเราควรหาเศษหญ้าแห้งไปทิ้งไว้ที่พื้นกรงเพื่อที่มันจะคาบขึ้นไปสร้างรังเอง
สิ่งที่ไม่ควรลืมใส่ไว้ในกรงก็คือ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกของนก ถาดอาหาร และผลไม้ ถาดใส่หนอนมีที่รองน้ำเพื่อกันมด อ่างอาบน้ำนก
เมื่อจัดเตรียมกรงเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงเรื่องพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ต้องเลือกเอานกที่มีแกนเสียงหนา ๆ สำนวนเพลงดี ๆ เพราะโอกาสที่จะได้ลูกนกที่มีแกนเสียงสามารถร้องเพลงดีมากกว่า อายุของพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ก็สำคัญ อย่าเอานกอายุอ่อนเกินไปอย่างน้อยต้อง 2 ปีขึ้นไป ก่อนการผสมพันธุ์เราต้องเตรียมตัวนกตัวเมียที่อายุดี แข็งแรง สัก 3 – 4 นก นำเอาไปปล่อยในกรงผสม พร้อมกับนกตัวผู้ 1 นก ที่ทำอย่างนี้เพราะต้องการให้นกเลือกคู่เอง พ่อนกถูกใจตัวเมียก็จะเห็นเคล้าคลอกับตัวนั้น... เราค่อยจับตัวเมียที่เหลืออก...
หลังจากนั้นไม่นานนกทั้งสองจะช่วยกันคาบใบไม่ใบหญ้ามาช่วยกันทำรัง ไม่นานเราก็จะเห็นไข่ 2 – 3 ฟองในรังเล็ก ๆ นกกรงหัวจุกใช้เวลาประมาณ 15 วันในการกกไข่บวกลบไม่เกิน 1 วัน ลูกนกตัวน้อย ๆที่ยังไม่ลืมตาก็จะออกมาจากไข่ ช่วงที่นกมันกกไข่จนถึงออกเป็นตัวต้องระวังอย่าให้อะไรไปรบกวน เพราะอาจเป็นสาเหตุให้นกที่ไข่ทิ้งลูกได้ บางครั้งลูกนกอาจจะถูกดันจนตกรังได้
การเลี้ยงลูกป้อนพ่อแม่นกกรงหัวจุกจะช่วยกันป้อนลูกช่วงนี้เราต้องเอาหนอนนกใส่ไว้มากเป็นพิเศษเอาอาหารเสริมพวกอาหารเม็ดใส่ไว้ด้วย พ่อแม่จะได้สอนให้ลูกกิน ลูกนกจะได้คุ้นเคยกับอาหารเม็ดในอนาคต ในช่วงนี้เราเรียกว่า “นกลูกป้อน” ประมาณ 3 สัปดาห์ ลุกนกจะเริ่มบินได้ โดยมีพ่อแม่เป็นครูฝึก ลุกนกจะเริ่มจิกอาหารเองได้แล้ว เราสามารถที่จะแยกออกมาเลี้ยงในกรงเดี่ยวได้แล้ว เพื่อที่ลูกนกจะได้คุ้นกับผู้เลี้ยงทั้งยังเป็นการช่วยให้แม่นกได้พักผ่อน และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เพื่อที่จะได้วางไข่ในคอกต่อไปอีกครั้ง
การผสมพันธุ์นกกรงหัวจุก จาก หนังสือ นกกรงฯนกเพลงเสนาะโลก เขียนโดย น้าหมูเซียนนก ตามหลักการเลี้ยงสัตว์ที่ถูกต้องนั้น... ต้องมีการขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวน นกกรงหัวจุกนั้นแม้จะเป็นสัตว์คุ้มครอง แต่ก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่สามารถเพาะพันธุ์ได้นั่น หมายถึงว่ากฎหมายได้เปิดช่องทางออกไว้เพื่อให้เราผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุกมีข้อโต้แย้งได้ว่าเราลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์ มิได้เลี้ยงเพื่อการค้า การผสมพันธุ์นกกรงหัวจุกไม่ใช่เรื่องยาก ว่ากันไปแล้วง่ายกว่านกเขาชวาเสียอีก
ขั้นแรกก็ต้องเตรียมกรงผสมเสียก่อน
ขนาดของกรงผสมก็ไม่ใหญ่โตอะไรมาก กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตรถึง2เมตรครึ่ง แล้วแต่พื้นที่ ความสูงก็ 2 เมตร แค่นี้ก็กว้างพอสำหรับพ่อแม่นกที่จะบินไปมาได้สะดวก ในกรงเราต้องตกแต่งให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติเสียหน่อย ด้วยการเอาต้นไม้กิ่งไม้ตกแต่งให้สวยงาม ให้นกได้มีความรู้สึกว่าอยู่ในธรรมชาติจริง ใช้ต้นโมกนี่แหล่ะราคาไม่แพงยกเข้าไปทั้งกระถางเลย 3 – 4 ต้นก็น่าจะพอ ที่พื้นกรงก็เอาทราบหยาบมาโรยไว้เพื่อซับความชื้น...จากนั้นก็หากิ่งไม้ไปขัดเป็นเส้น ๆ หลาย ๆ อัน เพื่อที่นกจะได้เลือกมุมหนึ่งเพื่อการสร้างรัง นกกรงหัวจุกนั้นด้วยนิสัยของมันแล้ว มันไม่ชอบให้ใครทำรังให้ มันจะช่วยกันสร้างเอง ดังนั้นเราควรหาเศษหญ้าแห้งไปทิ้งไว้ที่พื้นกรงเพื่อที่มันจะคาบขึ้นไปสร้างรังเอง
สิ่งที่ไม่ควรลืมใส่ไว้ในกรงก็คือ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกของนก ถาดอาหาร และผลไม้ ถาดใส่หนอนมีที่รองน้ำเพื่อกันมด อ่างอาบน้ำนก
เมื่อจัดเตรียมกรงเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงเรื่องพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ต้องเลือกเอานกที่มีแกนเสียงหนา ๆ สำนวนเพลงดี ๆ เพราะโอกาสที่จะได้ลูกนกที่มีแกนเสียงสามารถร้องเพลงดีมากกว่า อายุของพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ก็สำคัญ อย่าเอานกอายุอ่อนเกินไปอย่างน้อยต้อง 2 ปีขึ้นไป ก่อนการผสมพันธุ์เราต้องเตรียมตัวนกตัวเมียที่อายุดี แข็งแรง สัก 3 – 4 นก นำเอาไปปล่อยในกรงผสม พร้อมกับนกตัวผู้ 1 นก ที่ทำอย่างนี้เพราะต้องการให้นกเลือกคู่เอง พ่อนกถูกใจตัวเมียก็จะเห็นเคล้าคลอกับตัวนั้น... เราค่อยจับตัวเมียที่เหลืออก...
หลังจากนั้นไม่นานนกทั้งสองจะช่วยกันคาบใบไม่ใบหญ้ามาช่วยกันทำรัง ไม่นานเราก็จะเห็นไข่ 2 – 3 ฟองในรังเล็ก ๆ นกกรงหัวจุกใช้เวลาประมาณ 15 วันในการกกไข่บวกลบไม่เกิน 1 วัน ลูกนกตัวน้อย ๆที่ยังไม่ลืมตาก็จะออกมาจากไข่ ช่วงที่นกมันกกไข่จนถึงออกเป็นตัวต้องระวังอย่าให้อะไรไปรบกวน เพราะอาจเป็นสาเหตุให้นกที่ไข่ทิ้งลูกได้ บางครั้งลูกนกอาจจะถูกดันจนตกรังได้
การเลี้ยงลูกป้อนพ่อแม่นกกรงหัวจุกจะช่วยกันป้อนลูกช่วงนี้เราต้องเอาหนอนนกใส่ไว้มากเป็นพิเศษเอาอาหารเสริมพวกอาหารเม็ดใส่ไว้ด้วย พ่อแม่จะได้สอนให้ลูกกิน ลูกนกจะได้คุ้นเคยกับอาหารเม็ดในอนาคต ในช่วงนี้เราเรียกว่า “นกลูกป้อน” ประมาณ 3 สัปดาห์ ลุกนกจะเริ่มบินได้ โดยมีพ่อแม่เป็นครูฝึก ลุกนกจะเริ่มจิกอาหารเองได้แล้ว เราสามารถที่จะแยกออกมาเลี้ยงในกรงเดี่ยวได้แล้ว เพื่อที่ลูกนกจะได้คุ้นกับผู้เลี้ยงทั้งยังเป็นการช่วยให้แม่นกได้พักผ่อน และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เพื่อที่จะได้วางไข่ในคอกต่อไปอีกครั้ง
การดูเพศนกกรงหัวจุก
นกกรงหัวจุกเพศผู้
- จุกที่หัว - ขนจุกบนหัวใหญ่จุกที่อยู่บนหัวมีโคนจุกใหญ่แล้วเริ่มเล็กเรียวขึ้นไปปลายจุกแหลมและปลายจุกจะชี้ไปทางหัวของนก
- หัว - มีหัวและใบหน้าใหญ่
- ปาก - มีสีดำเป็นมันและปลายปากงอเล็กน้อย
- ตา - ดวงตากลมและใส สีดำ
- ขนแดงใต้ตา - เป็นสีแดงฟูเป็นกระจุกใต้ตา
- ขนแก้ม - เป็นกระจุกสีขาวฟูใหญ่กว่าขนแดงใต้ตา
- คอ - ขนาดของคอตัวผู้ใหญ่กว่าตัวเมียทำให้ร้องเสียงดี และร้องได้นานกว่าตัวเมีย จึงสามารถร้องเป็นเพลงได้หลายคำ
- ขนคอด้านบน - จะเป็นขนสีดำเรียบ
- ขนคอด้านล่าง - เป็นขนสีขาวสะอาดและขนฟูเป็นปุยเหมือนสำลีนูนออกมา
- สร้อยคอ - จะมีสีดำเป็นแถบจากคอพาดลงมาที่หน้าอก ที่ปลายสร้อยคอมองดูแล้วจะมีลักษณะออกแหลมแต่ไม่ค่อยเด่นชัดนัก
- อก - มีอกใหญ่ขนหน้าอกมีมากกว่าตัวเมียโดยใช้ปากเป่าอกดูขนหน้าอก
- ขนที่หัวปีก - มีขนที่หัวปีกสีน้ำตาลดำ มีขนหางจำนวน 12 เส้น
- หาง - ขนหางมีสีน้ำตาลดำ มีขนหางจำนวน 12 เส้น
- เสียงร้อง - เสียงร้องจะใหญ่และดังกังวานร้องได้ 3-7 พยางค์
นกกรงหัวจุกเพศเมีย
จุกที่หัว - ขนบนจุกจะเล็กกว่าตัวผู้จุกที่อยู่บนหัวมีโคนจุกเล็กกว่าตัวแล้ว เริ่มเรียวขึ้นไปปลายจุกแหลม
แต่ปลายจุกจะชี้มาทางด้านหลัง
หัว - มีหัวและใบหน้าเล็กกว่าตัวผู้
ปาก - มีปากสีดำเป็นมันและปลายปากงอเล็กน้อย
ตา - ดวงตากลมและใสสีดำ
ขนแดงใต้ตา - เป็นขนสีแดงฟูเป็นกระจุกใต้ตา
ขนแก้ม - เป็นกระจุกฟูใหญ่กว่าขนแดงใต้ตา
คอ - ขนาดของคอเล็กกว่าตัวผู้ทำให้ร้องเสียงไม่ดี ร้องได้ไม่นาน จึงทำให้ร้องไม่เป็นเพลง
ขนคอด้านบน - จะเป็นขนสีดำเรียบ
ขนคอด้านล่าง - เป็นขนสีขาวสะอาดและขนฟูเป็นปุยเหมือนสำลีนูนออกมา
สร้อยคอ - จะมีสีดำเป็นแถบจากคอพาดลงมาที่หน้าอก ที่ปลายสร้อยคอมองดูแล้วจะมีลักษณะไม่แหลม
อก - มีอกเล็กกว่าตัวผู้ และขนหน้าอกจะมีน้อยกว่าตัวผู้ โดยใช้ปากเป่าดูขนหน้าอก หนังที่อกของ
ตัวเมียจะเนียนละเอียดเกลี้ยงกว่าตัวผู้
ขนที่หัวปีก - ขนที่หัวปีกไม่มีสีแดงทั้ง 2 ข้าง
หาง - ขนหางมีสีน้ำตาลดำ มีขนหางจำนวน 9-10 เส้น
เสียงร้อง - เสียงเล็กกว่าตัวผู้ร้องได้สั้นๆ 1-2 พยางค์
แต่ปลายจุกจะชี้มาทางด้านหลัง
หัว - มีหัวและใบหน้าเล็กกว่าตัวผู้
ปาก - มีปากสีดำเป็นมันและปลายปากงอเล็กน้อย
ตา - ดวงตากลมและใสสีดำ
ขนแดงใต้ตา - เป็นขนสีแดงฟูเป็นกระจุกใต้ตา
ขนแก้ม - เป็นกระจุกฟูใหญ่กว่าขนแดงใต้ตา
คอ - ขนาดของคอเล็กกว่าตัวผู้ทำให้ร้องเสียงไม่ดี ร้องได้ไม่นาน จึงทำให้ร้องไม่เป็นเพลง
ขนคอด้านบน - จะเป็นขนสีดำเรียบ
ขนคอด้านล่าง - เป็นขนสีขาวสะอาดและขนฟูเป็นปุยเหมือนสำลีนูนออกมา
สร้อยคอ - จะมีสีดำเป็นแถบจากคอพาดลงมาที่หน้าอก ที่ปลายสร้อยคอมองดูแล้วจะมีลักษณะไม่แหลม
อก - มีอกเล็กกว่าตัวผู้ และขนหน้าอกจะมีน้อยกว่าตัวผู้ โดยใช้ปากเป่าดูขนหน้าอก หนังที่อกของ
ตัวเมียจะเนียนละเอียดเกลี้ยงกว่าตัวผู้
ขนที่หัวปีก - ขนที่หัวปีกไม่มีสีแดงทั้ง 2 ข้าง
หาง - ขนหางมีสีน้ำตาลดำ มีขนหางจำนวน 9-10 เส้น
เสียงร้อง - เสียงเล็กกว่าตัวผู้ร้องได้สั้นๆ 1-2 พยางค์
นกมงคล 12 ประการ
นกบางตัว อาจไม่เคยชนะการประกวดแข่งขันมีรางวัลตอบแทน แต่สำนวนร้องได้หลายพยางค์ เสียงร้องอาจเบาแต่ความเบานั้น เบาจากเพลงร้องยาว ๆ ร้องดีร้องเสมอต้นเสมอปลาย นกอย่างนี้หายากหาเลี้ยงไว้เถอะดีนักแล ฯ
1. ส่วนของหัวใหญ่ รูปโครงสร้างของใบหน้าดูเหมือนสิงโต
2. หงอน จุกบนหัวใหญ่ โคนจุกขนดกหนายาวตั้งตรงปลายแหลมขนเรียบลู่ในแนวเดียวกันดำสนิท ปลายโน้มเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อย
3. นัยน์ตาดุหรือหวาน คม ใส ไวต่อสิ่งสัมผัส ทั้งภายนอกภายใน
4. สันปากใหญ่หนา คมปากประกบกันสนิทคล้ายปากนกเหยี่ยว หรือนกอินทรีย์ (จะงอยปากไม่งุ้มลงมากเหมือนนกเหยี่ยว)
5. สีแต้มแดงที่หู หรือ หูแดงเข้มถึงเข้มมาก
6. สีแก้มขาวชัด ขนขึ้นดกหนาใหญ่ ขาวสะอาด หนวดดำเส้นเล็กตัดหว่างสีแก้มกับเคราใต้คาง
7. คอใหญ่ เครา ขนเคราขึ้นดกหนาฟูใหญ่สร้อยคอดำสนิทหรือภาษานกเรียก หมึกดำ ๆ สนิทขึ้นดกหนาใหญ่ย้อยลงมาถึงข้างล่างจรดก้น
8. โครงสร้างสัดส่วนยาวใหญ่สันทัด หน้าอกนูนใหญ่ ลักษณะจับดูหนึ่ง หรือมองดูตาเปล่า สง่า องอาจ
9. สีบัวใต้หางชัด สีแดงออกส้ม ๆ หรือสีแสด บานถึงปลายหาง
10. หางพัดยาว ปลายหางไม่แตก หางขาวดำ หรือหางดำป้ายขาว 8 หาง ข้างละ 4 หาง หางดำตลอด 4 หาง รวมเป็น 12 หาง หางยาวไม่แตก เวลายืนด้วยอาการปกติปลายหางซ้อนกันในแนวเดียว
11. ลีลาท่ายืนเดินสง่า สองขาจับมั่นดูองอาจสง่า เป็นนกใจเด็ดสู้ไม่ถอย
12. เสียงนกดี น้ำเสียงดี เสียงดังฟังชัด จะเป็นนกเสียงเล็ก กลาง ใหญ่ ได้ทั้งนั้น (เสียงไม่แหบพร่า) เหมาะเป็นนกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ดี
นกใดมีลักษณะมงคล 12 ประการ ดังกล่าวมานี้ คือเป็นนกดีลักษณะนกผู้นำชั้นยอด นักนิยมนกทั้งหลาย ควรเสาะหามาเลี้ยงเป็นเพื่อนคู่ใจดีนักเอย
นกบางตัว อาจไม่เคยชนะการประกวดแข่งขันมีรางวัลตอบแทน แต่สำนวนร้องได้หลายพยางค์ เสียงร้องอาจเบาแต่ความเบานั้น เบาจากเพลงร้องยาว ๆ ร้องดีร้องเสมอต้นเสมอปลาย นกอย่างนี้หายากหาเลี้ยงไว้เถอะดีนักแล ฯ
1. ส่วนของหัวใหญ่ รูปโครงสร้างของใบหน้าดูเหมือนสิงโต
2. หงอน จุกบนหัวใหญ่ โคนจุกขนดกหนายาวตั้งตรงปลายแหลมขนเรียบลู่ในแนวเดียวกันดำสนิท ปลายโน้มเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อย
3. นัยน์ตาดุหรือหวาน คม ใส ไวต่อสิ่งสัมผัส ทั้งภายนอกภายใน
4. สันปากใหญ่หนา คมปากประกบกันสนิทคล้ายปากนกเหยี่ยว หรือนกอินทรีย์ (จะงอยปากไม่งุ้มลงมากเหมือนนกเหยี่ยว)
5. สีแต้มแดงที่หู หรือ หูแดงเข้มถึงเข้มมาก
6. สีแก้มขาวชัด ขนขึ้นดกหนาใหญ่ ขาวสะอาด หนวดดำเส้นเล็กตัดหว่างสีแก้มกับเคราใต้คาง
7. คอใหญ่ เครา ขนเคราขึ้นดกหนาฟูใหญ่สร้อยคอดำสนิทหรือภาษานกเรียก หมึกดำ ๆ สนิทขึ้นดกหนาใหญ่ย้อยลงมาถึงข้างล่างจรดก้น
8. โครงสร้างสัดส่วนยาวใหญ่สันทัด หน้าอกนูนใหญ่ ลักษณะจับดูหนึ่ง หรือมองดูตาเปล่า สง่า องอาจ
9. สีบัวใต้หางชัด สีแดงออกส้ม ๆ หรือสีแสด บานถึงปลายหาง
10. หางพัดยาว ปลายหางไม่แตก หางขาวดำ หรือหางดำป้ายขาว 8 หาง ข้างละ 4 หาง หางดำตลอด 4 หาง รวมเป็น 12 หาง หางยาวไม่แตก เวลายืนด้วยอาการปกติปลายหางซ้อนกันในแนวเดียว
11. ลีลาท่ายืนเดินสง่า สองขาจับมั่นดูองอาจสง่า เป็นนกใจเด็ดสู้ไม่ถอย
12. เสียงนกดี น้ำเสียงดี เสียงดังฟังชัด จะเป็นนกเสียงเล็ก กลาง ใหญ่ ได้ทั้งนั้น (เสียงไม่แหบพร่า) เหมาะเป็นนกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ดี
นกใดมีลักษณะมงคล 12 ประการ ดังกล่าวมานี้ คือเป็นนกดีลักษณะนกผู้นำชั้นยอด นักนิยมนกทั้งหลาย ควรเสาะหามาเลี้ยงเป็นเพื่อนคู่ใจดีนักเอย
วิธีการดูแลนกกรงหัวจุก อาหาร ในตอนเช้า เปิดผ้าคลุมกรงนกออก แล้วเปลี่ยนอาหารให้นกกินใหม่ โดยการผ่ากล้วยน้ำว้าสุก มะละกอสุก มะเขือเทศสุก ลูกตำลึงสุก แตงกวา บวบ ออกเป็นครึ่งลูก หรือทำเป็นชิ้น ๆ ถ้าเป็นลูกตำลึงลุกก็ให้ทั้งลูกเลย การให้อาหารควรจะสลับกันไปวันละ 2 ชนิด เพื่อกันไม่ให้นกเบื่ออาหาร สำหรับอาหารเม็ดก็ใส่ไว้ในถ้วยอาหาร อาจจะไม่ต้องให้ทุกวัน
สังเกตดูขี้นก ในตอนเช้า เมื่อเปิดกรงนกหัวจุก ให้สังเกตดูขี้นก หากขี้นกเป็นแบบขี้จิ้งจก คือเป็นเม็ดสีขาวดำ แสดงว่านกเป็นปกติ แต่ถ้าขี้นกเป็นขี้เหลว หรือขี้เป็นน้ำ ก็แสดงว่านกเป็นโรคต้องรีบรักษาทันที
น้ำ ให้เอาน้ำเก่าทิ้งไป แล้วเอาน้ำใหม่ใส่ให้เกือบเต็มถ้วย เพราะน้ำเก่าอาจจะสกปรก
นำนกกรงหัวจุกไปตากแดด ในตอนเช้าผู้ที่เลี้ยงนกกรงหัวจุกจะต้องรู้วิธีการยกกรงนกไปแขวน โดยมีวิธีการยกคือ มือหนึ่งจะต้องหิ้วที่ตะขอกรงนก เมื่อไปถึงชายคาบ้าน หรือราวที่จะแขวนกรงนก หรือกิ่งไม้ หรือราวที่ฝึกซ้อม และราวที่จะแขวนนกประกวดแข่งขันแล้ว ก็ใช้มือข้างที่ถนัดจับที่มุมกรงมุมใดมุมหนึ่งที่เป็นเสากรง เพราะซี่ลูกกรงจะบอบบางไม่แข็งแรงและหัดได้ จากนั้นก็ยกกรงนกขึ้นชู โดยดูที่ตะขอแขวนนกว่าตรงกับที่แขวนหรือราวแล้วหรือยัง ถ้าตรงกบที่แขวนและราวแล้ว ก็ให้ปล่อยมือลง
ข้อควรระวัง อย่าแขวนนกที่มีอายุน้อยใกล้กับนกที่มีอายุมาก ซึ่งนกที่มีอายุมากจะข่มขู่นกที่มีอายุน้อยกว่า เพราะนกสามารถจะจำเสียงได้ และจะตื่นแล้วการที่จะนำนกไปแขวนไว้นี้ เพื่อให้นกได้กระโดดไปมาออกกำลังกาย และเพื่อให้นกร้อง จนถึงตอนบ่าย จึงจะเก็บนกไว้ในที่ร่มต่อไป ถ้าเป็นลูกนกและนกหนุ่ม ค่อย ๆ เพิ่มเวลาแขวนตากแดดวันละ 1 ชั่วโมง เป็นวันละ 2 ชั่วโมง และตากแดดไว้นานขึ้นจนนกเคยชิน เพราะเวลานำนกกรงหัวจุกเข้าประกวดแข่งขันต้องใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง กว่าจะประกวดเสร็จ เพราะนกต้องตากแดดตลอดเวลาการประกวด
เก็บนกไว้ในที่ร่ม หลังจากให้นกตากแดดตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนบ่าย ก็ให้เก็บนกและกรงนกไว้ในที่ร่ม ให้ทำความสะอาดกรง และอื่นๆ ดังนี้
สังเกตดูขี้นก ในตอนเช้า เมื่อเปิดกรงนกหัวจุก ให้สังเกตดูขี้นก หากขี้นกเป็นแบบขี้จิ้งจก คือเป็นเม็ดสีขาวดำ แสดงว่านกเป็นปกติ แต่ถ้าขี้นกเป็นขี้เหลว หรือขี้เป็นน้ำ ก็แสดงว่านกเป็นโรคต้องรีบรักษาทันที
น้ำ ให้เอาน้ำเก่าทิ้งไป แล้วเอาน้ำใหม่ใส่ให้เกือบเต็มถ้วย เพราะน้ำเก่าอาจจะสกปรก
นำนกกรงหัวจุกไปตากแดด ในตอนเช้าผู้ที่เลี้ยงนกกรงหัวจุกจะต้องรู้วิธีการยกกรงนกไปแขวน โดยมีวิธีการยกคือ มือหนึ่งจะต้องหิ้วที่ตะขอกรงนก เมื่อไปถึงชายคาบ้าน หรือราวที่จะแขวนกรงนก หรือกิ่งไม้ หรือราวที่ฝึกซ้อม และราวที่จะแขวนนกประกวดแข่งขันแล้ว ก็ใช้มือข้างที่ถนัดจับที่มุมกรงมุมใดมุมหนึ่งที่เป็นเสากรง เพราะซี่ลูกกรงจะบอบบางไม่แข็งแรงและหัดได้ จากนั้นก็ยกกรงนกขึ้นชู โดยดูที่ตะขอแขวนนกว่าตรงกับที่แขวนหรือราวแล้วหรือยัง ถ้าตรงกบที่แขวนและราวแล้ว ก็ให้ปล่อยมือลง
ข้อควรระวัง อย่าแขวนนกที่มีอายุน้อยใกล้กับนกที่มีอายุมาก ซึ่งนกที่มีอายุมากจะข่มขู่นกที่มีอายุน้อยกว่า เพราะนกสามารถจะจำเสียงได้ และจะตื่นแล้วการที่จะนำนกไปแขวนไว้นี้ เพื่อให้นกได้กระโดดไปมาออกกำลังกาย และเพื่อให้นกร้อง จนถึงตอนบ่าย จึงจะเก็บนกไว้ในที่ร่มต่อไป ถ้าเป็นลูกนกและนกหนุ่ม ค่อย ๆ เพิ่มเวลาแขวนตากแดดวันละ 1 ชั่วโมง เป็นวันละ 2 ชั่วโมง และตากแดดไว้นานขึ้นจนนกเคยชิน เพราะเวลานำนกกรงหัวจุกเข้าประกวดแข่งขันต้องใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง กว่าจะประกวดเสร็จ เพราะนกต้องตากแดดตลอดเวลาการประกวด
เก็บนกไว้ในที่ร่ม หลังจากให้นกตากแดดตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนบ่าย ก็ให้เก็บนกและกรงนกไว้ในที่ร่ม ให้ทำความสะอาดกรง และอื่นๆ ดังนี้
- 1. ทำความสะอาดกรงนก โดยเปลี่ยนตัวนกกรงหัวจุกไปไว้กรงอื่นเป็นการสอนนกไม่ให้เลือกกรงและเคยชินต่อการเปลี่ยนกรง จากนั้นก็ให้ทำความสะอาดกรงนกที่เห็นว่าสกปรก ถ้ากรงนกสะอาดดีแล้วก็ไม่ต้องทำความสะอาด
- 2. ทำความสะอาดตะขอที่เกี่ยวอาหาร
- 3. ทำความสะอาดถ้วยใส่น้ำ
- 4. ทำความสะอาดถ้วยใส่อาหารเม็ด
- 5. ล้างถาดรองขี้นกใต้กรง
- 6. ให้อาหารและน้ำนกเหมือนเดิม
- 7. ให้นกอาบน้ำ เมื่อนำนกไปเก็บไว้ในที่ร่ม ก็ให้นำกล่องพลาสติกหรือขันอาบน้ำใส่ไว้ในกรง ใส่น้ำลงไป นกก็จะอาบน้ำเอง ถ้านก ตัวไหนไม่ชอบอาบน้ำ ก็จะใช้ขวดแบบสเปรย์ฉีดน้ำเป็นฝอยให้ทั่วตัวนก จากนั้นนกก็จะเคยชินและอาบน้ำเองได้ เมื่อนกอาบน้ำเสร็จก็จะไซร้ขน เพื่อทำให้ขนสะอาดและแห้งไม่คันตัว แล้วก็เทน้ำที่ขันอาบน้ำนกทิ้งไป แล้วคว่ำขันลง ทิ้งขันอาบน้ำนี้ไว้ในกรง นกเมื่อได้อาบน้ำแล้วจะมีความสุข มีอารมณ์ดีแจ่มใส และร้องเพลงได้ดีเหมือนคนคือถ้าได้อาบน้ำก็จะรู้สึกสบายตัว
- 8. ให้นำนกไปแขวนไว้ที่ชายคาบ้าน หรือราว หรือกิ่งไม้ไว้เหมือนเดิม ในช่วงเวลาประมาณ 15.00-16.00 น. ซึ่งจะเป็นแดดอ่อน ๆ ไม่แรงมากนัก ให้นกได้ตากแดดในช่วงเข้าและช่วงเย็น เพราะแสดงแดดมีวิตามินดีทำให้กระดูกของนกแข็งแรง และเพื่อให้นกขนแห้งสนิทเมื่อได้ตากแดดขนก็จะฟูสวยงามเป็นเงาและไม่คันตัว กรงนกก็จะแห้งและไม่ขึ้นรา อายุการใช้งานของกรงก็นานขึ้น
- 9. หลังจาก 16.00 น. ในช่วงใกล้ค่ำ ให้เก็บนกเข้าบ้าน ปิดผ้าคลุมกรงนกจะได้หลับพักผ่อน เวลานกนอนจะชอบความสงบ ไม่ชอบให้มีเสียงรบกวน